รองเท้าเซฟตี้ รองเท้า Safety Jogger รองเท้านิรภัย รองเท้าหัวเหล็ก
รองเท้าเซฟตี้
ขอใบเสนอราคา / สอบถาม
HOT LINE : 081-682-1555 LINE ID: @er1555 email: er1555@hotmail.com
วิธีการวัดไซส์รองเท้าหัวเหล็ก
1. วัดขนาดความยาวของ รองเท้านิรภัย ตั้งแต่จุดปลายเท้าถึงเส้นจุดส้นเท้า
2. เพื่อความสบายในการสวมใส่ รองเท้านิรภัย ควรบวกเผื่อไว้ 0.20-0.50 เซนติเมตร แล้วเทียบไซด์รองเท้าหัวเหล็กตามตาราง
หมายเหตุ : ด้านกว้างเท้าไม่จำเป็นต้องวัด เนื่องจากรองเท้าเซฟตี้ของบริษัทหน้ากว้างทุกรุ่น
บทความเกี่ยวกับรองเท้าเซฟตี้
การเลือกซื้อ รองเท้าเซฟตี้ หัวเหล็ก
รองเท้าเซฟตี้ ทำจากวัสดุดังนี้
1. วัสดุหนังแท้
- หนังแท้เป็นวัสดุที่นิยมมากที่สุด มีความต้องการสูงในท้องตลาด ซึ่งเป็นวัสดุที่มีคนสนใจเป็นจำนวนมาก
- เนื่องจากสามารถใส่ได้ในทุกๆงาน เพราะมีความสุภาพ สามารถทนต่อสิ่งของมีคมได้เป็นอย่างดี
- อีกทั้งยังสามารถใส่ในงานกิจกรรมทั่วไปได้
รองเท้าเซฟตี้ของทางร้านเป็นหนังแท้ทุกรุ่น
เลือกชมรองเท้าทุกรุ่น คลิก2. วัสดุหนังกลับ
- หนังกลับเป็นหนังแท้ชนิดหนึ่งที่มีความสวยงามต่อการสวมใส่
- เป็นหนังที่มีดีไซน์แตกต่างจากหนังทั่วๆไป ทนต่อสิ่งมีคมได้ดี
3. ผ้าใบเซฟตี้
- เป็นรองเท้าผ้าใบสามารถใส่เที่ยวได้
- ดูไม่ออกว่าเป็นรองเท้าหัวเหล็ก
- ข้อดีที่สำคัญของรองเท้าผ้าใบก็คือ สามารถระบายอากาศได้ดี
- สามารถซักล้างได้เหมือนผ้าใบทั่วไป
รองเท้าผ้าใบเซฟตี้ มีหลากหลายแบบ
รองเท้าเซฟตี้ ผ้าใบหัวเหล็ก คลิก4. วัสดุ PVC
- เป็นวัสดุที่สามารถกันน้ำได้ มีน้ำหนักเบาที่สุด
- เหมาะสำหรับใส่ในโรงพยาบาล ในครัว หรืองานทั่วไป ที่นิยมเน้นกันลื่น
5. รองเท้าบู้ท PVC เซฟตี้
- เป็นรองเท้าที่สามารถกันน้ำซึมเข้าได้ 100%
- นิยมนำมาใช้ในงานเดินป่า งานเดินลุยในกองขยะ ที่มีโอกาสที่จะมีสิ่งแหลมคมทิ่มแทงทะลุขึ้นมาได้
- เนื่องจากมีหัวเหล็กและพื้นเหล็ก ป้องกันแรงกระแทกได้ดี
วัสดุกันกระแทกของรองเท้าหัวเหล็ก
1. รองเท้าหัวเหล็ก
- การผลิตรองเท้านิรภัย ส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดก็คือ หัวและพื้นที่ใช้รับแรงกระแทก
- ในการผลิตรองเท้า ส่วนใหญ่นิยมใช้หัวเหล็กและพื้นเหล็กในการทำรองเท้านิรภัย
- บางครั้งนิยมเรียกว่ารองเท้าหัวเหล็ก
2. รองเท้าหัวคอมโพสิต
วัสดุอีกชนิดที่นิยมใช้มากขึ้นแต่ราคาสูงกว่าคือรองเท้าหัวคอมโพสิต (หัว Composite)
- หัว Composite จะมีน้ำหนักเบากว่า แต่ราคาสูงกว่า
รองเท้าเซฟตี้หัวคอมโพสิต มีหลากหลายแบบ
รองเท้า safety หัวคอมโพสิตคลิกวัสดุที่ใช้ทำพื้นรองเท้าเซฟตี้
1. รองเท้าเซฟตี้หัวเหล็กพื้นยาง
- วิธีการผลิตรองเท้าพื้นยางคือการนำพื้นรองเท้าและตัวรองเท้า เอามาประกอบกันด้วยการทากาวให้ทั่ว
- หลังจากทากาวแล้วจะทำการเย็บติดกันด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัย
- ทำให้มีความคงทนได้ดี ได้แก่ 2 รุ่นดังนี้
2. รองเท้าเซฟตี้หัวเหล็ก พื้น TPR
- ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ใช้ทำรองเท้าผ้าใบเซฟตี้
- ปัจจุบันกำลังเป็นที่นิยมในช่วงปี 2019 นี้
- เนื่องจากรองเท้าผ้าใบมีน้ำหนักเบา และยังสามารถระบายอากาศได้ดีกว่ารองเท้าหนัง
- เหมาะกับเมืองไทยเป็นอย่างยิ่ง ได้แก่
3. รองเท้าเซฟตี้ หัวเหล็ก พื้นพียู
- ผลิตจัดการฉีดสารเคมีชนิดโพลียูรีเทนขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกันกับตัวรองเท้าเซฟตี้
- ทำให้มีความแข็งแรงมากกว่า และมีความคงทนกว่า
- โพลียูรีเทน(Polyulethane) นี้มีทั้งแบบสูตรธรรมดาและสูตรเข้มข้น
- เป็นที่นิยมที่สุดเนื่องจากน้ำหนักเบาและกันลื่นได้ดีกว่าพื้นยางและพื้น TPR ได้แก่
10 อันดับยอดขาย รองเท้าเซฟตี้ ที่ขายดี
- ผลิตจากหนังแท้อัดลาย
- หัวทำจากเหล็ก พื้นเสริมเหล็กกันทะลุ
- พื้นรองเท้าผลิตจากยาง ยึดติดกับตัวรองเท้าด้วยการทากาวและเย็บรอบพื้นรองเท้า
- ราคาถูกที่สุด ขายดีที่สุด เป็นรุ่นที่คุ้มค่าที่สุดในตลาด
– หนังแท้ พื้น Double Density PU
– หัวเหล็กรับแรง 200 จูล พื้นเสริมเหล็ก 1100 นิวตัน มาตรฐานยุโรป
– ขนาด 37-47
– หนังทนต่อน้ำมัน สารเคมี และสิ่งมีคม
– พื้นรองเท้ากันลื่นน้ำมันได้ดี
– หน้ากว้างพิเศษและรองเท้ามีระบบระบายอากาศ
- หนังแท้ ทำจากหัวเหล็ก พื้นเสริมเหล็กกันทะลุ
- พื้นรองเท้าทำจากวัสดุ PU (Polyurethane) ผลิตจากการฉีดโพลียูรีเทนติดกับตัวรองเท้า ทำให้มีความคงทนกว่า
- รองเท้ายี่ห้อร็อคโคแบบหนังมีแบบหุ้มข้อ สามารถป้องกันการบาดบริเวณข้อเท้าได้
- ใส่สบาย น้ำหนักเบา
- รองเท้าผ้าใบเซฟตี้ ทำจากผ้าใบ แต่เสริมหัวเหล็ก พื้นเสริมเหล็กป้องกันการทะลุ
- พื้น TPR เย็บรอบ สวมใส่สบาย ระบายอากาศได้ดี เหมาะกับสวมใส่ทำงานใส่เที่ยวได้
- รุ่นหุ้มส้นใส่สบาย น้ำหนักเบา
- รองเท้าหัวเหล็ก แบรนด์ของประเทศเบลเยี่ยม
- รองเท้าหนังแท้ ทำจากหัวเหล็ก พื้นเสริมเหล็กกันทะลุ
- พื้นรองเท้าทำจากวัสดุ PU (Polyurethane) ผลิตจากการฉีดโพลียูรีเทนติดกับตัวรองเท้า ทำให้มีความคงทนกว่า
- รองเท้าหัวเหล็ก แบบหนังมีทั้งหุ้มส้นและหุ้มข้อ
- รุ่นหุ้มส้นใส่สบาย น้ำหนักเบา
- รุ่นหุ้มข้อสามารถป้องกันการบาดบริเวณข้อเท้าได้
- รองเท้า Safety Jogger แบรนด์ของประเทศเบลเยี่ยม
- รองเท้านิรภัยหนังแท้ ทำจากหัวเหล็ก พื้นเสริมเหล็กกันทะลุ
- พื้นรองเท้าทำจากวัสดุ PU (Polyurethane) สูตรเข้มข้น ผลิตจากการฉีดโพลียูรีเทนติดกับตัวรองเท้า ทำให้มีความคงทนกว่า
- รองเท้านิรภัยแบบหนังมีทั้งหุ้มส้นและหุ้มข้อ
- รุ่นหุ้มส้นใส่สบาย น้ำหนักเบา
- รุ่นหุ้มข้อสามารถป้องกันการบาดบริเวณข้อเท้าได้
- รองเท้า Safety Jogger แบรนด์ของประเทศเบลเยี่ยม มีดีไซน์ หนังผสมผ้าใบ เป็นที่นิยมในทวีปยุโรป
- รองเท้านิรภัยหนังแท้ ทำจากหัวเหล็ก พื้นเสริมเหล็กกันทะลุ
- พื้นรองเท้าทำจากวัสดุ PU (Polyurethane) สูตรเข้มข้น ผลิตจากการฉีดโพลียูรีเทนติดกับตัวรองเท้า ทำให้มีความคงทนกว่า
- รองเท้านิรภัยแบบหนังมีทั้งหุ้มส้นและหุ้มข้อ
- รุ่นหุ้มส้นใส่สบาย น้ำหนักเบา
- รุ่นหุ้มข้อสามารถป้องกันการบาดบริเวณข้อเท้าได้
- รองเท้าเชฟ มีดีไซน์ เป็นที่นิยมในทวีปยุโรป
- รุ่นหุ้มส้นใส่สบาย น้ำหนักเบา
ขอใบเสนอราคา / สอบถาม
HOT LINE : 081-682-1555 LINE ID: @er1555 email: er1555@hotmail.com
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ รองเท้าเซฟตี้
1. ข้อแตกต่างของรองเท้าเซฟตี้รุ่นอาร์มสตรอง กับ รุ่นแฮมเมอร์
รองเท้าทั้ง 2 รุ่นนี้ มีสเปคเท่ากันต่างกันที่
-
สีของเชือก รองเท้านิรภัย ซึ่งแฮมเมอร์จะมีสีส้มดำ ส่วน รองเท้าหัวเหล็ก อาร์มสตรองจะมีสีเทาดำ
-
แผ่นรองในรพื้นใน รองเท้าหัวเหล็ก แฮมเมอร์จะมีสีส้ม ส่วนอาร์มสตรองจะมีสีเทา
-
ด้ายที่ใช้เย็บ รองเท้านิรภัย รุ่นแฮมเมอร์จะใช้ได้สีส้ม สวดอาร์มสตรองจะใช้ได้สีเทา
2. รองเท้าเซฟตี้รุ่น Safetyrun / Safetyboy ต่างกับรุ่น Bestrun / Bestboy อย่างไร
-
รองเท้านิรภัย รุ่น Safetyrun จะเป็นพื้น PU สูตรธรรมดา
-
ส่วน รองเท้านิรภัย รุ่น Bestrun จะเป็นพื้น PU สูตรเข้มข้น จะสามารถกันลื่นได้ดีกว่า
-
รองเท้านิรภัย สามารถทนต่อกัดของสารเคมีและน้ำมันได้มากกว่า
-
ทำให้อายุการใช้งานยาวนานกว่า
3. รองเท้าเซฟตี้ รุ่นร็อคโค่ ต่างกับรุ่น Safetyrun / Safetyboy อย่างไร
-
รองเท้าทั้ง 2 รุ่นนี้มีสเปคที่เท่าเทียมกัน
-
ต่างกันที่ รองเท้านิรภัย รุ่น Safetyrun / Safetyboy สามารถกันไฟฟ้าสถิตย์ได้
-
รองเท้าหัวเหล็ก รุ่น Safetyrun / Safetyboy เป็นแบรนด์ของ Safety jogger ซึ่งเจ้าของแบรนด์เป็นประเทศเบลเยี่ยม มุลค่าแบรนด์จะสูงกว่า
-
ซึ่งเป็นที่นิยมในทวีปยุโรป ทำให้มีราคาที่สูงกว่า
-
ส่วน รองเท้าหัวเหล็ก รุ่นร็อคโค่เป็นแบรนด์ OEM รับจ้างผลิต ทำให้ราคาต่ำกว่า เนื่องจากไม่มีต้อนทุนค่าการตลาดต้นทุน
4. รองเท้าเซฟตี้รุ่น กับ JUMPER / CLIMBER อย่างไร
-
รุ่น JUMPER และ CLIMBER เป็นสีโทนเทา-ดำ วัสดุที่ใช้ทำเป็นหัวคอมโพสิต น้ำหนักเบากว่า สามารถเดินผ่านเครื่องตรวจจับโลหะได้เพราะไม่มีส่วนผสมของโลหะ
-
รองเท้าหัวเหล็ก รุ่น X2020P / X2000 เป็นโทนสีน้ำตาล เป็นหัวเหล็กพื้นเสริมเหล็ก มีน้ำหนักมากกว่า
5. รองเท้าเซฟตี้ รุ่นไหนดีที่สุด
-
ถ้า รองเท้าหัวเหล็ก ที่ใช้งานโดยทั่วๆไปแล้ว ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าต้องป้องกันอะไรเป็นพิเศษนอกจากกันการกระแทก
-
และตัดเรื่องของดีไซน์ออกแล้ว รองเท้าเซฟตี้ ที่เมื่อเทียบราคากับวัสดุที่ใช้แล้วคุ้มค่าที่สุดก็คือรุ่น OSCAR1 หุ้มส้น / OSCAR2 หุ้มข้อ
-
เพราะรุ่นที่สูงกว่านี้จะเป็นเรื่องของ Design การออกแบบที่ทันสมัยสวยงาม
6. รองเท้าเซฟตี้ รุ่นที่ทนต่อน้ำมัน
-
น้ำมันกัดทุกพื้นผิววัสดุ รุ่นพื้นยางจะทนได้ในระดับต่ำกว่า เช่น อาร์มสตรอง แฮมเมอร์
-
ส่วนพื้น PU จะทนได้ในระดับที่สุงกว่า เช่น รุ่น ROCCO Safetyrun Safetyboy
-
ส่วนพื้น Dual Density PU ทนได้ในระดับค่อนข้างสูงมากครับเช่น รุ่น BESTRUN BESTBOY
7. มีมาตรฐาน มอก.รับรองมั้ย
-
รองเท้าหัวเหล็ก ยี่ห้อ Safety Jogger ทุกรุ่นของประเทศเบลเยี่ยม เป็นรองเท้านำเข้า
-
ดังนั้นจะเป็นมาตรฐานยุโรป (CE Mark) เพราะเป็นที่ยอมรับของทุกประเทศทั่วโลก
-
ซึ่งต่างจาก มอก.ไทย จะเป็นที่ยอมรับของประเทศไทยเท่านั้น
มาตรฐานยุโรป EN 345 และ ISO EN20345 สามารถดูรายละเอียดที่นี่
มาตรฐานรองเท้าเซฟตี้8. รองเท้าเซฟตี้ ที่สั่ง ถ้าใส่ไม่ได้สามารถเปลี่ยนได้ไหม
-
รองเท้าหัวเหล็ก ที่ยังไม่ได้ใช้งาน สามารถเปลี่ยนได้
-
ในระยะเวลาไม่เกิน 1 เดือนหลังจากส่งสินค้าแล้ว
-
แต่ต้องรบกวนจัดเก็บให้สภาพเหมือนตอนที่นำไปส่งทั้งเรื่องของกล่องสินค้า
9. จะวัดไซส์ รองเท้าเซฟตี้ อย่างไร
-
สามารถวัดได้จากตารางไซส์ที่ลิงค์นี้ครับ [ตารางไซด์] วัดขนาดตามความยาวเท้าเป็นหลัก
-
เนื่องจาก รองเท้าเซฟตี้ ของบริษัททุกรุ่น จะมีหน้ารองเท้าที่กว้าง ไม่บีบปลายเท้า
-
ทำให้เท้าบางท่านที่กว้างจะไม่ไปบีบปลายเท้า
-
ยกเว้นรุ่นของผู้หญิง เช่น Organic Ceres และ Bestgirl
-
ขนาดที่วัดได้ควรแจ้งเป็นขนาดของ EU เป็นหลัก ตั้งแต่ 35-47
-
เนื่องจากว่าถ้าแจ้งเป็นเลขตัวเดียวเช่นเบอร์ 7 เบอร์ 8 หน่วยของ UK และ US
-
จะมีการเหลื่อมกันเล็กน้อย ทำให้อาจจะสับสนได้
รองเท้าของทางร้านกรณีสั่งไปแล้วใส่ไม่ได้ สามารถเปลี่ยนได้
คลิก ตารางไซด์รองเท้า10. รองเท้าเซฟตี้ มีรุ่นใหนเบาบ้าง
-
รองเท้าหัวเหล็ก ของบริษัทเบาทุกรุ่น เนื่องจากทำจากพื้นยาง และพื้น PU
-
น้ำหนักเฉลี่ยต่อข้าง size 41 จะอยู่ที่น้ำหนัก 500-600 กรัม
-
ไซด์ที่ใหญ่ขึ้นและเล็กลงจัดหนักขึ้นและเบาลงตามลำดับ
-
ซึ่งแตกต่างจากรองเท้าพื้นยางไนไตร์ ที่ส่วนใหญ่แล้วจะมีน้ำหนักตั้งแต่ 2.5 กิโลกรัมขึ้นไป
11. รองเท้าเซฟตี้ รับแรงได้ 200 จูลเทียบหมายความว่าอย่างไร ป้องกันอะไรได้บ้าง
-
สมมติถ้าของตกใส่เท้า น้ำหนัก 10 กิโลกรัม สูงจากพื้น 1 เมตร สามารถคำนวนเบื้องต้นได้ดังนี้
-
จูล = นิวตัน * เมตร
-
1 กิโลกรัม = 9.81 นิวตัน
-
ของ 10 กิโลกรัม = 98.1 นิวตัน
-
คูณระยะความสูง 1 เมตร
-
เท่ากับว่าแรง = 98.1 นิวตัน * 1 เมตร
-
เท่ากับ 98.1 จูล
-
ดังนั้นสามารถกันแรงกระแทกได้
-
แต่ทั้งนี้ รองเท้านิรภัย จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา ถ้าเกิดมีแรงกระแทกที่มากกว่า 200 จูล
ถ้าของ 20 กก. จะกันแรงกระแทกได้ที่ความสูงประมาณ 1 เมตร
ถ้าของ 10 กก. จะกันแรงกระแทกได้ที่ความสูงประมาณ 2 เมตร
12. ทำไม รองเท้าเซฟตี้ รุ่นแพงกว่าถึงหนักกว่า
-
รุ่นที่สเปคสุงกว่าส่วนใหญ่จะหนักกว่า
-
เพราะจะใส่วัสดุป้องกันอะไรมากกว่า
-
รวมทั้งพื้นรองเท้าที่เป็นสเปคสูงกว่าก็จะหนักกว่าครับ
13. รองเท้าเซฟตี้ รุ่นไหนราคาถูกที่สุด
-
รองเท้าหัวเหล็ก รุ่นอาร์สตรองและแฮมเมอร์
14. ทางบริษัทมีนโยบายการจัดส่งสินค้าอย่างไร
-
ทางบริษัทมีรถจัดส่งสินค้าทั้งในกรุงเทพและปริมณฑล ชำระเงินปลายทางได้
-
กรณีต่างจังหวัดสามารถจัดส่งได้ทั้งทางขนส่งเอกชน / Flash / ไปรษณีย์ไทย / Kerry ตามแต่ตกลง
-
กรณีสั่งสินค้าจำนวนมาก บริษัทมีจัดส่งในพื้นที่ชลบุรี ฉะเชิงเทรา อยุธยา นครปฐม ราชบุรี
-
ระยะเวลาการจัดส่ง กทม.และขนส่งเอกชนในวันทำการถัดไป
-
Flash ตัดรอบ 15.30 น.ส่งวันที่สั่งสินค้า
-
กรณีเร่งด่วนส่งผ่าน LALAMOVE
ทางบริษัทมีนโยบายที่จะจัดหาสินค้าที่มีคุณภาพในราคาคุ้มค่า
และจะการพัฒนาเรื่องการส่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
รองเท้าเซฟตี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในหลายๆ อาชีพ โดยเฉพาะในงานที่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุ รองเท้าที่เหมาะสมสามารถป้องกันอันตรายและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ นี่คือเหตุผลและความสำคัญของการสวมใส่รองเท้าเซฟตี้
ประเภทของรองเท้าเซฟตี้
รองเท้าเซฟตี้มีหลายประเภทที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะด้านของงานแต่ละประเภท โดยแต่ละประเภทมีคุณสมบัติและการป้องกันที่แตกต่างกันไป ดังนี้:
1. รองเท้าหัวเหล็ก (Steel Toe Boots)
- คุณสมบัติ: มีส่วนหัวของรองเท้าที่ทำจากเหล็กหรือวัสดุแข็งอื่นๆ เช่น คอมโพสิต
- การป้องกัน: ป้องกันการบาดเจ็บจากวัตถุหนักตกใส่หรือกระแทก
- การใช้งาน: งานก่อสร้าง, งานอุตสาหกรรม, งานขนส่ง
2. รองเท้าป้องกันการเจาะทะลุ (Puncture Resistant Boots)
- คุณสมบัติ: พื้นรองเท้ามีแผ่นเหล็กหรือวัสดุแข็งที่ทนต่อการเจาะทะลุ
- การป้องกัน: ป้องกันการเจาะจากของแหลมคม เช่น ตะปู, เศษโลหะ
- การใช้งาน: งานก่อสร้าง, งานไม้, งานอุตสาหกรรมที่มีเศษวัสดุแหลมคม
3. รองเท้ากันลื่น (Slip Resistant Shoes)
- คุณสมบัติ: พื้นรองเท้าออกแบบมาเพื่อเพิ่มแรงยึดเกาะ
- การป้องกัน: ป้องกันการลื่นล้มบนพื้นผิวที่เปียกหรือลื่น
- การใช้งาน: งานในครัว, งานโรงงานผลิตอาหาร, งานทำความสะอาด
4. รองเท้าป้องกันไฟฟ้า (Electrical Hazard Boots)
- คุณสมบัติ: มีคุณสมบัติเป็นฉนวนไฟฟ้า
- การป้องกัน: ป้องกันไฟฟ้าช็อต
- การใช้งาน: งานซ่อมบำรุงไฟฟ้า, งานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้า
5. รองเท้ากันน้ำและสารเคมี (Chemical Resistant Boots)
- คุณสมบัติ: ทำจากวัสดุที่ทนทานต่อการซึมผ่านของสารเคมีและน้ำ
- การป้องกัน: ป้องกันการสัมผัสกับสารเคมีและของเหลวที่เป็นอันตราย
- การใช้งาน: งานในอุตสาหกรรมเคมี, งานซ่อมบำรุงที่เกี่ยวข้องกับสารเคมี
6. รองเท้าทนความร้อน (Heat Resistant Boots)
- คุณสมบัติ: พื้นรองเท้าและส่วนบนของรองเท้าทำจากวัสดุที่ทนทานต่อความร้อนสูง
- การป้องกัน: ป้องกันการบาดเจ็บจากการสัมผัสกับพื้นผิวหรือวัตถุที่มีอุณหภูมิสูง
- การใช้งาน: งานในโรงงานเหล็ก, งานหล่อโลหะ, งานเชื่อม
7. รองเท้าป้องกันการกระแทก (Impact Resistant Boots)
- คุณสมบัติ: มีส่วนหัวรองเท้าที่แข็งแรงและวัสดุที่รองรับแรงกระแทก
- การป้องกัน: ป้องกันการบาดเจ็บจากการกระแทกแรงๆ
- การใช้งาน: งานในอุตสาหกรรมหนัก, งานที่มีความเสี่ยงต่อการกระแทก
8. รองเท้าทนสารเคมีและของเหลว (Chemical Resistant Boots)
- คุณสมบัติ: ทำจากวัสดุที่ทนต่อการกัดกร่อนของสารเคมี
- การป้องกัน: ป้องกันการสัมผัสกับสารเคมีที่เป็นอันตราย
- การใช้งาน: งานในอุตสาหกรรมเคมี, งานที่ต้องสัมผัสกับของเหลวที่เป็นอันตราย
9. รองเท้าป้องกันไฟฟ้าสถิต (Electrostatic Discharge - ESD Shoes)
- คุณสมบัติ: ออกแบบมาเพื่อป้องกันการสะสมของไฟฟ้าสถิต
- การป้องกัน: ป้องกันการเกิดไฟฟ้าสถิตซึ่งอาจทำให้เกิดการจุดประกายไฟหรือเสียหายต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
- การใช้งาน: งานในโรงงานผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, ห้องแลบ
10. รองเท้าป้องกันน้ำมันและสารเคมี (Oil Resistant Boots)
- คุณสมบัติ: พื้นรองเท้าทำจากวัสดุที่ทนต่อน้ำมันและสารเคมี
- การป้องกัน: ป้องกันการซึมผ่านของน้ำมันและสารเคมี
- การใช้งาน: งานในโรงงานอุตสาหกรรม, งานในอู่ซ่อมรถ, งานในสถานที่ที่มีการใช้น้ำมันและสารเคมี
การเลือกใช้รองเท้าเซฟตี้ที่เหมาะสมกับงานที่ทำจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุในสถานที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
การเลือกขนาดและการทดลองสวมรองเท้าเซฟตี้
การเลือกขนาดและการทดลองสวมรองเท้าเซฟตี้อย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่ารองเท้าจะให้การปกป้องและความสบายสูงสุด นี่คือขั้นตอนและคำแนะนำในการเลือกขนาดและการทดลองสวมรองเท้าเซฟตี้:
1. วัดขนาดเท้า
-
วัดความยาวเท้า:
- วัดความยาวจากปลายส้นเท้าถึงปลายนิ้วเท้าที่ยาวที่สุด ควรวัดทั้งสองข้างและเลือกขนาดที่ใหญ่กว่าหากความยาวไม่เท่ากัน
- ใช้ไม้บรรทัดหรือเทปวัดเพื่อให้ได้ขนาดที่แม่นยำ
-
วัดความกว้างเท้า:
- วัดความกว้างของส่วนที่กว้างที่สุดของเท้าเพื่อเลือกขนาดที่เหมาะสม โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีเท้ากว้าง
- ใช้สายวัดหรือเทปวัดเพื่อวัดรอบส่วนที่กว้างที่สุดของเท้า
2. การเลือกขนาดรองเท้าเซฟตี้
-
ตรวจสอบตารางขนาด:
- แต่ละแบรนด์อาจมีขนาดรองเท้าที่แตกต่างกันเล็กน้อย ควรตรวจสอบตารางขนาดที่ผู้ผลิตหรือร้านค้าให้มา
- ใช้ค่าที่วัดได้เทียบกับตารางขนาดเพื่อเลือกขนาดที่เหมาะสม
-
เผื่อพื้นที่สำหรับถุงเท้า:
- สวมถุงเท้าที่จะใช้กับรองเท้าเซฟตี้เมื่อลองรองเท้า เพื่อให้แน่ใจว่ามีพื้นที่เพียงพอและไม่แน่นเกินไป
3. การทดลองสวมรองเท้าเซฟตี้
-
ทดลองสวมรองเท้าทั้งสองข้าง:
- สวมรองเท้าทั้งสองข้างและเดินไปรอบๆ เพื่อทดสอบความสบายและการรองรับ
- ตรวจสอบว่ามีพื้นที่เพียงพอสำหรับนิ้วเท้าขยับได้เล็กน้อย และไม่มีส่วนไหนของรองเท้าที่กดหรือบีบเท้า
-
ตรวจสอบความพอดีของส้นเท้า:
- ตรวจสอบว่าส้นเท้าของคุณอยู่ในตำแหน่งที่พอดี ไม่เลื่อนหลุดเมื่อเดิน
- การมีส้นที่พอดีช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บและการลื่นล้ม
-
ตรวจสอบความยาวและความกว้าง:
- ตรวจสอบว่ามีพื้นที่เพียงพอสำหรับนิ้วเท้าทั้งหมด และไม่มีส่วนใดของรองเท้าที่บีบหรือแน่นเกินไป
- ตรวจสอบว่ารองเท้ามีความกว้างพอดี ไม่บีบหรือหลวมเกินไป
-
ทดสอบพื้นรองเท้าและการยึดเกาะ:
- เดินบนพื้นผิวที่แตกต่างกันเพื่อทดสอบการยึดเกาะและความมั่นคงของพื้นรองเท้า
- พื้นรองเท้าควรมีการยึดเกาะที่ดีและไม่ลื่นเมื่อเดินบนพื้นผิวที่เปียกหรือมัน
4. การปรับแต่งและการเปลี่ยนแปลง
-
ใช้แผ่นรองรองเท้าเสริม:
- หากรองเท้าใหญ่เกินไปหรือไม่พอดี สามารถใช้แผ่นรองรองเท้าเสริมเพื่อปรับความพอดีและเพิ่มความสบาย
-
ปรับสายรัดหรือเชือกรองเท้า:
- ปรับสายรัดหรือเชือกรองเท้าให้แน่นและพอดี เพื่อให้รองเท้ารับประกันความปลอดภัยและความมั่นคง
5. การสวมรองเท้าเซฟตี้ในระยะยาว
-
ตรวจสอบรองเท้าเป็นระยะ:
- ตรวจสอบรองเท้าเซฟตี้เป็นระยะๆ เพื่อดูว่ามีส่วนไหนที่เสื่อมสภาพหรือเสียหาย
- เปลี่ยนรองเท้าเมื่อพบว่ามีการสึกหรอมากเกินไปหรือไม่ให้การปกป้องที่เพียงพอ
-
ปรับตัวกับรองเท้าใหม่:
- การสวมรองเท้าเซฟตี้ใหม่อาจต้องใช้เวลาปรับตัว ควรสวมใส่เป็นระยะเวลาเล็กน้อยในช่วงแรกๆ เพื่อให้เท้าคุ้นเคย
การเลือกขนาดและการทดลองสวมรองเท้าเซฟตี้อย่างถูกต้องเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้มั่นใจได้ว่ารองเท้าจะให้การปกป้องและความสบายสูงสุดในการทำงาน การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยให้คุณเลือกซื้อรองเท้าเซฟตี้ที่เหมาะสมและใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การดูแลรักษารองเท้าเซฟตี้
การดูแลรักษารองเท้าเซฟตี้อย่างถูกต้องสามารถยืดอายุการใช้งานและรักษาคุณสมบัติการป้องกันของรองเท้าให้คงทนไปนาน ๆ นี่คือคำแนะนำในการดูแลรักษารองเท้าเซฟตี้:
1. การทำความสะอาดรองเท้าเซฟตี้
-
ทำความสะอาดหลังการใช้งาน:
- เช็ดสิ่งสกปรกและฝุ่นละอองออกจากรองเท้าด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ หรือแปรงขนนุ่ม
- หากมีคราบหนัก สามารถใช้สบู่อ่อนหรือน้ำยาทำความสะอาดที่เหมาะสมผสมกับน้ำอุ่นในการทำความสะอาด
-
การทำความสะอาดพื้นรองเท้า:
- ขจัดเศษหิน เศษวัสดุ หรือสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ที่พื้นรองเท้า เพื่อรักษาความสามารถในการยึดเกาะของพื้นรองเท้า
2. การอบแห้งรองเท้าเซฟตี้
- การอบแห้ง:
- ปล่อยให้รองเท้าแห้งที่อุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องอบผ้า หรือการวางใกล้แหล่งความร้อนโดยตรง เช่น เครื่องทำความร้อน หรือแสงแดดจัด เพราะอาจทำให้วัสดุเสียหาย
- ถอดแผ่นรองเท้าออกมาและปล่อยให้แห้งแยกกัน
3. การบำรุงรักษาวัสดุของรองเท้า
-
การบำรุงรักษาหนัง:
- สำหรับรองเท้าที่ทำจากหนัง ให้ใช้น้ำยาขัดรองเท้าหรือครีมบำรุงหนังในการดูแลรักษา ช่วยให้หนังไม่แห้งแตกและคงความยืดหยุ่น
- ใช้ผ้านุ่มหรือแปรงขนนุ่มในการทาครีมบำรุงและขัดเงา
-
การบำรุงรักษาวัสดุสังเคราะห์:
- สำหรับรองเท้าที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์ สามารถใช้น้ำยาทำความสะอาดเฉพาะสำหรับวัสดุนั้นๆ และเช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาด
4. การตรวจสอบรองเท้าเซฟตี้เป็นระยะ
-
ตรวจสอบการสึกหรอ:
- ตรวจสอบส่วนหัวของรองเท้า พื้นรองเท้า และส่วนอื่น ๆ เพื่อดูว่ามีการสึกหรอหรือความเสียหายที่อาจลดประสิทธิภาพการป้องกันหรือไม่
- ตรวจสอบระบบเบรก (หากมี) และส่วนประกอบอื่น ๆ ที่อาจมีการเสื่อมสภาพ
-
การซ่อมแซมเล็กน้อย:
- หากพบการสึกหรอหรือความเสียหายเล็กน้อย สามารถซ่อมแซมด้วยตนเองได้ เช่น การเปลี่ยนแผ่นรองเท้าด้านใน
- หากมีความเสียหายรุนแรง ควรพิจารณาซื้อคู่ใหม่เพื่อความปลอดภัย
5. การเก็บรักษารองเท้าเซฟตี้
-
การเก็บในที่แห้งและเย็น:
- เก็บรองเท้าในที่แห้งและเย็น หลีกเลี่ยงการเก็บในที่ชื้นหรือที่ที่มีอุณหภูมิสูง
- ใช้ถุงเก็บรองเท้าหรือกล่องรองเท้าเพื่อป้องกันฝุ่นและสิ่งสกปรก
-
การเก็บให้พ้นจากสารเคมี:
- หลีกเลี่ยงการเก็บรองเท้าใกล้สารเคมีที่อาจทำลายวัสดุของรองเท้า เช่น น้ำมัน สารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อน
6. การใช้งานรองเท้าเซฟตี้อย่างถูกต้อง
-
การสวมถุงเท้า:
- สวมถุงเท้าที่เหมาะสมในการใส่รองเท้าเซฟตี้ เพื่อลดการเสียดสีและเพิ่มความสบาย
- ใช้ถุงเท้าที่ทำจากวัสดุที่สามารถระบายอากาศได้ดีเพื่อป้องกันความอับชื้น
-
การใส่และถอดรองเท้าอย่างระมัดระวัง:
- ใส่และถอดรองเท้าเซฟตี้อย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้โครงสร้างของรองเท้าเสียหาย
- ใช้มือช่วยในการดึงรองเท้าออก ไม่ควรใช้วิธีการกระแทกหรือเตะเพื่อถอดรองเท้า
การดูแลรักษารองเท้าเซฟตี้อย่างถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยยืดอายุการใช้งานของรองเท้า แต่ยังช่วยรักษาคุณสมบัติการป้องกันและความปลอดภัยในการใช้งานด้วย การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยให้รองเท้าเซฟตี้ของคุณคงทนและมีประสิทธิภาพในการปกป้องคุณจากอันตรายในที่ทำงาน
การใช้งานรองเท้าเซฟตี้อย่างถูกต้อง
การใช้งานรองเท้าเซฟตี้อย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการทำงานและลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ นี่คือแนวทางในการใช้งานรองเท้าเซฟตี้อย่างถูกต้อง:
1. การเลือกใช้รองเท้าเซฟตี้ที่เหมาะสม
-
เลือกประเภทที่เหมาะสมกับงาน:
- เลือกรองเท้าเซฟตี้ที่เหมาะสมกับลักษณะงาน เช่น รองเท้าหัวเหล็กสำหรับงานก่อสร้าง รองเท้ากันลื่นสำหรับงานในครัว หรือรองเท้ากันไฟฟ้าสถิตย์สำหรับงานในโรงงานอิเล็กทรอนิกส์
- ตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยที่รองเท้ารองรับ เช่น มาตรฐาน ASTM, EN ISO หรือ CSA
-
เลือกขนาดที่เหมาะสม:
- วัดขนาดเท้าและเลือกขนาดรองเท้าที่พอดีกับเท้า ไม่คับหรือหลวมเกินไป
- สวมถุงเท้าขณะลองรองเท้าเพื่อให้ได้ขนาดที่พอดี
2. การสวมรองเท้าเซฟตี้
-
สวมถุงเท้าที่เหมาะสม:
- เลือกถุงเท้าที่ทำจากวัสดุที่สามารถระบายอากาศได้ดีและมีความนุ่มนวล เพื่อป้องกันการเสียดสีและความอับชื้น
-
สวมและรัดให้พอดี:
- ใส่รองเท้าแล้วรัดสายรัดหรือเชือกรองเท้าให้พอดี เพื่อให้รองเท้ากระชับและมั่นคง ไม่หลวมจนทำให้เกิดการลื่นหรือหลุด
3. การตรวจสอบรองเท้าก่อนใช้งาน
- ตรวจสอบความสมบูรณ์ของรองเท้า:
- ตรวจสอบรองเท้าว่าไม่มีส่วนไหนที่เสียหาย เช่น พื้นรองเท้าไม่หลุด หัวรองเท้าไม่แตก หรือไม่มีรูรั่ว
- ตรวจสอบความสมบูรณ์ของระบบป้องกัน เช่น หัวเหล็ก พื้นรองเท้ากันลื่น
4. การดูแลรักษารองเท้าเซฟตี้ระหว่างการใช้งาน
-
ทำความสะอาดหลังการใช้งาน:
- เช็ดสิ่งสกปรก ฝุ่น หรือคราบน้ำมันออกจากรองเท้าหลังการใช้งาน เพื่อรักษาความสะอาดและประสิทธิภาพของรองเท้า
-
ปล่อยรองเท้าแห้งก่อนการใช้งานต่อไป:
- หากรองเท้าเปียก ควรปล่อยให้แห้งก่อนการใช้งานต่อไป เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อราและกลิ่นไม่พึงประสงค์
5. การใช้งานรองเท้าเซฟตี้ในระยะยาว
-
หลีกเลี่ยงการใช้งานเกินกว่าความสามารถของรองเท้า:
- ใช้รองเท้าเซฟตี้ตามวัตถุประสงค์และความสามารถที่กำหนด หลีกเลี่ยงการใช้งานที่เกินกว่าที่รองเท้าถูกออกแบบมาเพื่อรองรับ
-
เปลี่ยนรองเท้าเมื่อเสื่อมสภาพ:
- ตรวจสอบสภาพรองเท้าเป็นระยะ หากพบว่ารองเท้ามีการสึกหรอหรือเสียหาย ควรเปลี่ยนคู่ใหม่เพื่อความปลอดภัย
6. การจัดเก็บรองเท้าเซฟตี้
-
เก็บในที่แห้งและเย็น:
- เก็บรองเท้าในที่แห้งและเย็น หลีกเลี่ยงการเก็บในที่ชื้นหรือที่ที่มีอุณหภูมิสูง เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อราและการเสื่อมสภาพของวัสดุ
-
ใช้ที่เก็บรองเท้าหรือกล่องรองเท้า:
- ใช้ที่เก็บรองเท้าหรือกล่องรองเท้าเพื่อป้องกันฝุ่นและสิ่งสกปรก
คำแนะนำในการเลือกซื้อรองเท้าเซฟตี้
การเลือกซื้อรองเท้าเซฟตี้เป็นเรื่องสำคัญที่ควรให้ความใส่ใจ เนื่องจากรองเท้าเซฟตี้มีบทบาทในการปกป้องเท้าจากอันตรายในสถานที่ทำงาน นี่คือคำแนะนำในการเลือกซื้อรองเท้าเซฟตี้:
1. รู้จักประเภทของรองเท้าเซฟตี้ที่ต้องการ
- รองเท้าหัวเหล็ก (Steel Toe Boots): สำหรับงานที่มีความเสี่ยงจากการกระแทกหรือวัตถุหนักตกใส่
- รองเท้ากันลื่น (Slip Resistant Shoes): สำหรับงานที่ต้องการการยึดเกาะที่ดีบนพื้นเปียกหรือลื่น
- รองเท้าป้องกันไฟฟ้า (Electrical Hazard Boots): สำหรับงานที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้า
- รองเท้าป้องกันสารเคมี (Chemical Resistant Boots): สำหรับงานที่ต้องสัมผัสกับสารเคมีหรือของเหลวที่เป็นอันตราย
2. ตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัย
- ค้นหาข้อมูลและตรวจสอบว่ารองเท้าผ่านมาตรฐานความปลอดภัยหรือไม่ เช่น มาตรฐาน ASTM, EN ISO, หรือ CSA ซึ่งรับรองความปลอดภัยและคุณภาพของรองเท้า
3. เลือกขนาดที่เหมาะสม
- วัดขนาดเท้าอย่างถูกต้องและเปรียบเทียบกับตารางขนาดของผู้ผลิต
- สวมถุงเท้าที่จะใช้กับรองเท้าเซฟตี้ขณะลองรองเท้าเพื่อให้ได้ขนาดที่พอดี
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีพื้นที่เพียงพอสำหรับนิ้วเท้าขยับได้เล็กน้อย และรองเท้าไม่บีบรัดหรือหลวมเกินไป
4. ความสบายและการระบายอากาศ
- เลือกรองเท้าที่มีการรองรับที่ดีและมีการระบายอากาศเพียงพอ เพื่อป้องกันการอับชื้นและการเสียดสี
- ตรวจสอบว่ามีแผ่นรองเท้าที่สามารถถอดออกและทำความสะอาดได้
5. วัสดุและการก่อสร้าง
- เลือกรองเท้าที่ทำจากวัสดุคุณภาพสูง เช่น หนังแท้หรือวัสดุสังเคราะห์ที่ทนทาน
- ตรวจสอบการเย็บและการก่อสร้างของรองเท้า ว่ามีความแข็งแรงและทนทาน
6. การยึดเกาะและพื้นรองเท้า
- ตรวจสอบพื้นรองเท้าว่ามีการยึดเกาะที่ดีและทนทานต่อการลื่น
- เลือกรองเท้าที่มีพื้นรองเท้ากันน้ำมันหรือน้ำ เพื่อป้องกันการลื่นล้มในสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีของเหลว
7. ความยืดหยุ่นและการเคลื่อนไหว
- เลือกรองเท้าที่มีความยืดหยุ่นเพียงพอ เพื่อให้สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก
- รองเท้าควรมีการรองรับข้อเท้าเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ
8. การรับประกันและบริการหลังการขาย
- เลือกซื้อจากผู้ขายหรือแบรนด์ที่มีการรับประกันและบริการหลังการขายที่ดี
- ตรวจสอบนโยบายการคืนสินค้าและการซ่อมแซม
9. รีวิวและคำแนะนำจากผู้ใช้งาน
- อ่านรีวิวและคำแนะนำจากผู้ใช้งานคนอื่นๆ เพื่อทราบถึงประสบการณ์การใช้งานและข้อดีข้อเสียของรองเท้ารุ่นนั้นๆ
10. การลองสวมรองเท้า
- ลองสวมรองเท้าทั้งสองข้างและเดินรอบๆ เพื่อทดสอบความสบายและการรองรับ
- ตรวจสอบว่าส้นเท้าอยู่ในตำแหน่งที่พอดีและรองเท้าไม่หลุดขณะเดิน
การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยให้คุณเลือกซื้อรองเท้าเซฟตี้ที่เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมการทำงานของคุณ
มารู้จักประโยชน์ของ รองเท้าเซฟตี้ กันเถอะ
เชื่อได้เลยว่าหลายคนอาจไม่เคยทราบมาก่อนถึง ประโยชน์ของอุปกรณ์หลากหลายชนิด ที่เป็นอุปกรณ์เซฟตี้ ว่าแต่ละชนิดมีหน้าที่ และ ประโยชน์อย่างไรกันบ้าง เพราะหลายท่านอาจจะเคยเห็นหน้าตาของเจ้าเครื่องมือต่างๆ แต่อาจจะไม่ทราบเลยว่าเครื่องมือต่างๆเหล่านั้น มีประโยชน์อย่างไรต่อชีวิตและทรัพย์สินของตัวท่านเอง
อุปกรณ์เซฟตี้ ที่มีอยู่และใช้กันอย่างเป็นประจำในประเทศของเรานั้นเป็นอุปกรณ์ที่ได้รับมาตรฐาน จากนานาประเทศ และ ใช้งานได้เป็นอย่างดีมีอุปกรณ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือ รองเท้าเซฟตี้รองเท้านิรภัย เป็นรองเท้าที่ถูกออกแบบมาอย่างพิเศษ สำหรับป้องกันอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในสถานที่ปฏิบัติงาน
โดยความพิเศษของ รองเท้านิรภัย นั้น ได้ถูกสร้างมาอย่างจำเพาะเจาะจง เพื่อป้องกันเหตุอันไม่พึงประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการป้องกันกระแสไฟฟ้า หรือ ความสามารถของรองเท้าเซฟตี้ ในการป้องกันพื้นที่ที่มีความลื่นจากน้ำมัน นี่เป็นคุณสมบัติหลักๆ โดยคร่าวๆ
สำหรับการก้าวเดินของรองเท้าเซฟตี้โดยรองเท้าเซฟตี้ประเภทนี้มีประสิทธิภาพสามารถทำได้เหนือกว่ารองเท้าทั่วไปอย่างเห็นได้ชัดเท่านั้นยังไม่พอ รองเท้านิรภัย ยังสามารถป้องกันอุบัติเหตุที่เกิดจากวัตถุ หรือ โลหะหนัก ตกใส่เท้าโดยมาตรฐานสำหรับรองเท้าประเภทนี้คือสามารถรองรับน้ำหนักกดทับได้ถึง 200 จูลด้วยกันจึงสามารถรองรับการกระแทกจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้อีกด้วย
รองเท้าเซฟตี้นั้นยังสามารถทนแรงบีบ และ ในบางชนิดยังมีคุณสมบัติอื่นๆเพิ่มเติมเสริมขึ้นมาอีกมากมายด้วยความสามารถอันหลากหลาย สำหรับการปกป้องเท้า จากหลายอุบัติภัยที่อาจเกิดขึ้นนั้น ทำให้รองเท้าเซฟตี้ถูกเลือกเป็นอันดับต้นๆ
สำหรับเป็นอุปกรณ์ในการป้องกันภัยที่มีสวมใส่ในเขตอุตสาหกรรมทุกแห่งในประเทศ และ ต่างประเทศ นั่นเองโดยที่หลักการของการป้องกันภัยด้วยการสวมอุปกรณ์นี้เป็นพื้นฐานของการเตรียมตัวเข้าปฏิบัติหน้าที่ ณ เขตอุตสาหกรรมของจริงส่วนความพร้อมหลักๆนั้น จะเกิดขึ้นกับบุคลากรที่มีการอบรมในการทำงานในส่วนงานของพื้นที่นั้นๆนั่นเอง
ความพร้อมที่จะตั้งรับกับอุบัติเหตุ และอุบัติภัย ต่างๆ สถานที่ทำงาน หรือ โรงงานอุตสาหกรรมล้วนแล้วแต่เตรียมความพร้อมกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้อยู่ตลอดเวลา เพื่อปกป้องพนักงาน และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอยู่ในเขตพื้นที่เสี่ยงแห่งนั้นเสมอ เพราะความปลอดภัยจะเป็นสิ่งที่มาเป็นอันดับแรกสำหรับทุกโรงงานอุตสาหกรรมนั่นเอง
ส่วนรองเท้าเซฟตี้ที่หลายท่านอาจจะเคยเห็นภาพลักษณ์ของรองเท้าที่ดูใหญ่ เทอะทะ และ ดูแข็งแกร่ง ในปัจจุบันนี้ได้มีรูปร่างและรูปทรงที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก โดยเป็นรองเท้าที่ออกแบบให้เข้ากับสไตล์ของยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
ทำให้ตลาดของรองเท้าเซฟตี้นั้นได้ก้าวไปข้างหน้าอีกขั้นและตอบโจทย์กับผู้ต้องการความปลอดภัยพร้อมกับความสวยงามได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
ขอใบเสนอราคา / สอบถาม
HOT LINE : 081-682-1555 LINE ID: @er1555 email: er1555@hotmail.com
จัดส่งรวดเร็วทันใจ
มั่นใจได้สินค้าของคุณจะถึงผู้รับจัดส่งฟรีเมื่อสั่งซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท ขึ้นไป
คัดสรรค์สินค้า รองเท้าเซฟตี้ คุณภาพ
ด้วยมาตรฐานระดับสากล
การรับประกันสินค้า
สินค้าทุกชิ้นอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน
บริการประทับใจ
ด้วยประสบการณ์มากกว่า 10 ปี